สัมภาษณ์พิเศษกับ แจ็ค วิลเชียร์ อดีตวันเดอร์คิดส์ปืนปืนใหญ่ สู่วันที่เป็นแข้งไร้สโมสร

สัมภาษณ์พิเศษกับ แจ็ค วิลเชียร์ อดีตวันเดอร์คิดส์ปืนปืนใหญ่ สู่วันที่เป็นแข้งไร้สโมสร

สัมภาษณ์พิเศษกับ "แจ็ค วิลเชียร์" อดีตวันเดอร์คิดส์ปืนปืนใหญ่ สู่วันที่เป็นแข้งไร้สโมสร

สัมภาษณ์พิเศษกับ แจ็ค วิลเชียร์ อดีตวันเดอร์คิดส์ปืนปืนใหญ่ สู่วันที่เป็นแข้งไร้สโมสร

The Athletic สัมภาษณ์ แจ็ค วิลเชียร์ อดีตกองกลางดาวรุ่งอนาคตไกลของอาร์เซน่อลและทีมชาติอังกฤษ กับปัจจุบันที่เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่หาสโมสรเล่นไม่ได้

“ลูกชายของผมถามผมว่า ทำไมไม่มีสโมสรไหนต้องการพ่อเลย? ผมจะต้องอธิบายเขายังไง?”

อีกไม่กี่วันตลาดนักเตะของพรีเมียร์ลีกก็จะปิดตัวลง และหากชีวิตเป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ เวลานี้แจ็ค วิลเชียร์ ลงจะฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อเตรียมสำหรับการแข่งขันเกมส์ต่อไปของทีม แต่ชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ปัจจุบันเขาไม่มีเพื่อนร่วมทีม ไม่มีสโมสร และไม่มีเกมส์การแข่งขันนัดต่อไป

วิลเชียร์กล่าวว่า: “ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดนี้เลย วันนี้ผมกำลังวิ่งไปรอบๆ ลู่กรีฆ่าและดิ้นร้นที่จะจินตนาการว่าผมมาอยู่ที่นี่เพื่ออาชีพของตัวเอง ทุกคนเคยพูดว่า ตอนที่ผมอายุ 28,29 ผมจะอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอล ซึ่งผมเองก็คิดแบบนั้น ว่าตัวเองยังเล่นอยู่กับสโมสรชั้นนำของพรีเมียร์ลีก”

เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหนูมหัศจรรย์ที่ลงเล่นให้กับอาร์เซน่อลตั้งแต่อายุ 16 ปี และต่อสู้กับสุดยอดกองกลางของบาร์เซโลน่าได้อย่างสุดยอดในยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกในสามปีต่อมา คว้าแชมป์เอฟเอ คัพสองสมัยกับอาร์เซน่อล และติดทีมชาติอังกฤษ ในรอบสุดท้ายทัวร์นาเมนท์สำคัญอย่างต่อเนื่อง

นั่นเป็นคำถามที่วิลเชียร์ ถามกับตัวเองเสมอ และในขณะที่เขารู้คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็สร้างความกระวนกระวายให้เขาอย่างมาก

แม้ว่าเขาจะสวมหมวกเบสบอลปิดใบหน้าเกือบทั้งหมดเอาไว้ และเดินเข้ามาในสำนักข่าวของ The Athletic แต่ทุกคนก็จำได้ว่านี่คือ แจ็ค วิลเชียร์ ถึงเขาจะแสดงท่าทียิ้มแย้ม แต่ดวงตาของเขามันดูเศร้าหมองตลอดระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงที่นั่งสัมภาษณ์

แต่ไม่มีเรื่องใดอยู่ในความสนใจของเขาไปมากกว่าคำว่าครอบครัว กับการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีลูก 4 คน ซึ่งเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาคนปัจจุบัน 2 คน และอดีตภรรยาอีกสองคน

วิลเชียร์กล่าวว่า: “ลูกๆ ของผมอยู่ในวัยที่พวกเขาจะเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะอาร์ซี่ (ลูกชายคนโต) เขาอายุ 9 ขวบแล้ว จริงๆ เขาบอกกับผมว่าทำไมพ่อไม่ไปเล่นที่เมเจอร์ลีกล่ะ หรือไม่ไปเล่นในลาลีกาสเปนดู”

“เขารักฟุตบอล เขารู้อย่างเกี่ยวกับฟุตบอล และเป็นการยากที่จะอธิบายให้เขาฟัง เขามักจะถามผมเสมอว่า ทำไมไม่มีสโมสรไหนสนใจพ่อ? แต่ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไร”

“พวกเขามีเืพ่อนที่โรงเรียน และคุณก็รู้ว่าเด็กๆ เป็นอย่างไร บางครั้งมันก็โหดร้ายนะ ทำไมพ่อนายไม่ทำงาน? เขาดีไม่พอเหรอ? เขาเล่นฟุตบอลไม่เก่งเหรอ? ใช่มันเป็นเรื่องยากจริงๆ”

“ผมมีลูกอยู่สองคน (เซียน่า และแจ็คจูเนียร์) พวกเขาไม่เคยเห็นผมเล่นฟุตบอลเลย เมื่อผมออกไปซ้อมตอนเช้า ผมจูบพวกเขาและบอกว่าผมจะไปฝึกซ้อม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าผมไปทำอะไร พวกเขาไม่รู้ว่าผมจะไปที่ไหน ผมทำงานอะไร ส่วนลูกอีกสองคน จำผมในตอนที่เล่นให้อาร์เซน่อลได้ พวกเขาจำได้ว่าดูผมลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษด้วย ในแง่นึง ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก พวกเขาสามารถเห็นได้ใน Youtube และเมื่อผมออกไปข้างนอก ก็มีคนจำผมได้”

“ส่วนเรื่องยากที่สุดคือพยายามอธิบายเมื่อพวกเขาถมว่าทำไมพ่อไม่เซ็นสัญญากับทีมในอังกฤษล่ะ? ผมชอบบอกพวกเขาไปว่า ไม่มีใครต้องการพ่อเลย”

บางครั้งมันก็ข้ามเส้นเกินไป วิลเชียร์เล่าให้ฟังวันที่อาร์ซี่ กลับจากโรงเรียนแล้วอารมณ์เสีย หลังจากที่นักเรียนคนอื่นเรียกพ่อของเขาว่า: “แจ็ค วิลแชร์” วิลเชียร์บอกว่าเขาไปเจอหน้ากับพ่อของเด็กที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น นั่นไม่ใช่เพราะเขาเจ็บ แต่เนื่องจากมันก่อให้เกิดผลกระทบต่อลูกชายเขา

แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตของวิลเชียร์ ปัญหาเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีก่อน ที่เขาบาดเจ็บที่ข้อเท้าในช่วงท้ายฤดูกาล 2010/11 ตอนนั้นเขาลงเล่นไป 54 เกมส์ ในช่วงอายุ 18-19 ปี หลังจากนั้นปัญหาบาดเจ็บก็ตามเล่นงานเขามาตลอด

อย่างไรก็ตาม แจ็ค ก็ต่อสู้กลับอาการบาดเจ็บ ในแต่ละครั้งก็มีความทรงจำพิเศษมากมายตลอดเส้นทาง เขาเคยได้รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลจากประตูที่เขายิงนอริช ซิตี้ ในปี 2013 และลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 2016

สัมภาษณ์พิเศษกับ แจ็ค วิลเชียร์-01

เขาย้ายออกจากอาร์เซ่อลไปอยู่กับเวสต์แฮม ในปี 2018 มันเคยเป็นช่วงที่เขาวาดฝันว่าเขาจะเข้าสู่ช่วงที่พีกที่สุดในอาชีพของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันแตกต่างจากที่เขาคิดแบบสิ้นเชิง เขายกเลิกสัญญากับเวสต์แฮม 2 ปีหลังจากนั้น หรือก่อนครบสัญญา 12 เดือน

เขากล่าวว่า: “พูดตามตรงผมไม่ควรจากไป” วิลเชียร์ยอมรับ โดยนึกถึงช่วงซัมเมอร์ที่อาร์เซน่อลแต่งตั้ง อูไน เอเมรี เข้ามาแทนที่ อาร์แซน เวนเกอร์ หลังจากุนซือเมืองน้ำหอมอยู่คุมทีมมานาน 22 ปี “ผมไม่ควรออกจากอาร์เซน่อล”

“ผมได้คุยกับอาร์แซน ตอนที่ผมกลังมาจากสัญญายืมตัวที่บอร์นมัธ (2016/17 กับสัญญาที่เหลืออยู่กับทีมอีก 12 เดือน) เขาบอกผมว่า นายสามารถย้ายออกไปได้ นายจะไม่ได้รับสัญญาใหม่ที่นี่ แต่ผมรู้จักอาร์แซน และรู้ว่าเขาประเมินผมในฐานะนักฟุตบอลไว้แบบไหน ผมรู้ว่าถ้าผมฟิตพอ ผมสามารถพาตัวเองเขาไปอยู่ในทีมได้”

“ผมคิดว่าตัวเองมีความคิดแบบเดียวกันเมื่อนั่งคุยกับเอเมรี และเขาว่า มีสัญญาวางอยู่บนโต๊ะ แต่คุณจะไม่ใช่ 11 ตัวจริงในทีมของผม ผมจำได้ว่าผมเดินออกไปด้วยความโมโห เพราะผมคิดว่าผมจะได้เล่น ผมพิสูจน์ตัวเองมาแล้วก่อนหน้านี้ อาจทำให้ผมตัดสินใจแบบไม่ได้คิด ผมโทรหาเอเยนต์แล้วบอกว่า เราต้องไปกันแล้ว จริงๆ ผมควรใช้เวลา 2-3 วันเพื่อสงบสติอารมณ์ และผมไปที่ตัวเองอีกครั้ง มองไปมองไปยังผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ในทีม และผลักดันตัวเองให้เขาไป”

หลังจากออกจากเวสต์แฮม เขาฝึกซ้อมเพียงลำพัง จนกระทั่งได้ไปร่วมทีมบอร์นมัธ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในเดอะแชมเปี้ยนชิพ เขาได้สัญญาระยะสั้น 6 เดือน แต่สัญญาของเขาไม่ได้ถูกขยายออกไปหลังจบฤดูกาล

“ผมคงจะโกหก ถ้าผมบอกว่าไม่กังวล แน่นอนผมกังวล ผมอยู่ในตำแหน่งเหมือนตอนที่ออกจากเวสต์แฮม มันแย่มาก ผมคิดกับตัวเองว่าผมไม่อยากที่จะผ่านเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว ผมไปบอร์นมัธ ผมเล่นไป 11 เกมส์ และผมคิดว่านั่นน่าจะเพียงพอพิสูจน์แล้วว่าผมฟิต แต่ผมก็ไม่ได้รับข้อเสนอใดๆ ยิ่งทำให้ผมกังวลหนักขึ้นไปอีก”

“นั่นทำให้ผมคิดมาก เมื่อคุณอยู่กับสโมสร และฝึกซ้อมในทุกวัน คุณจะตื่นขึ้นมาและไม่ว่าคุณจะอยู่ในทีม หรือไม่ได้อยู่ในทีม คุณก็ต้องฝึกซ้อมให้ดี ต้องแสดงให้ผู้จัดการทีมเห็นว่า ผมพร้อมสำหรับสุดสปัดาห์ ตอนนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมา แล้วต้องคิดว่าจะไปฝึกซ้อมที่ไหน ช่วงปรีซีซั่นผมได้ฝึกซ้อมกับหนึ่งสโมสร แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว ผมก็ต้องตื่นมาแล้วหาแรงจูงใจอีกครั้ง และมีคำถามอยู่ในหัวผมตลอดว่า ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร”

“วันก่อนผมคุยกับภรรยา ก่อนที่เราจะเข้านอน ผมบอกกับเธอว่า พรุ่งนี้ผมต้องไปฝึกซ้อม แต่ทำไมผมต้องไปฝึกซ้อมด้วยล่ะ? ผมควรไปสนใจอย่างอื่นดีไหม? เช่น ลองไปเป็นโค้ช หรือไปเรียกหลักสูตรโค้ช A License เพื่อที่จะได้จดจ่อกับสิ่งนั้น”

“แต่เธอบอกกับผมว่าไม่คุณไม่สามารถทำมันได้หรอก มันยังเร็วเกินไป คุณยังดีกว่านั้น ผมก็บอกเธอไปว่า ถ้าผมดี ก็คงมีคนมอบโอกาสให้ผมแล้ว ให้ผมไปฝึก หรือให้ไปทดสอบฝีเท้า เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง”

“ผมบอกกับเอเยนต์ว่าผมไม่ต้องการอยู่ในจุดที่ต้องรอแล้วรอเล่า ผมไม่ต้องการแบบนั้นแล้ว ปีที่แล้วผมได้แต่อรอๆ มันเหมือนผมเสียเวลาไปเปล่าๆ”

แจ็ค วิลเชียร์ ที่อยู่กับ อาร์เซนอล ตั้งแต่ 9 ขวบ เขามีความคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสโมสรเก่าของเขา วิลเชียร์กล่าวว่า: “มันน่าผิดหวังเมื่อเห็นว่าพวกเขาอยู่ตรงจุดไหน สิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดคือ อาร์เตต้า คือคนที่ใช่ เห็นได้ชัดว่าในข่าว สิ่งที่อยู่ในโซเซียลมีเดีย หลายคนต้องการให้เขาออกไป ผมคิดว่าเขากำลังพยายามสร้างบางอย่าง และผมคิดว่ามันต้องใช้เวลา”

“สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุดคือผมอยู่ที่นั่น เราเริ่มถอยหลังลงไปเรื่อยๆ เรายังอยู่ในพื้นที่แชมเปี้ยนลีก แล้วเราก็หลุดพื้นที่แชมเปี้ยนลีก มันเหมือนความผิดหวังที่ใหญ่มาก แต่ตอนนี้เราไม่ได้แม้แต่จะก้าวขึ้นไปสู้เพื่อแย่งท็อปโฟร์อีกแล้ว เขายังไม่แม้กระทั่งแย่งพื้นที่ยูโรป้าลีก แต่อาร์เซน่อล มีกลุ่มดาวรุ่งที่ดี ซึ่งผมคิดว่ามันดีที่สุด นับตั้งแต่ที่ผม อารอน (แรมซี่ย์) คีแรน (กิ๊บส์) ก้าวขึ้นมา นักเตะเหล่านั้นต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี”

“ความแตกต่างคือ ผมก้าวเข้ามาในทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับเวิร์คคลาส พวกเขาช่วยผมได้เยอะมากไม่ว่าจะเป็น เชส ฟาเบรกาส, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ซามีร์ นาสรี่ พวกเขาทั้งหมดสุดยอด และผมได้เรียนรู้หลายอย่างจากพวกเขา”

“นั่นเป็นเหตุผมทำไมต้องใช้เวลาอีกหน่อย เพราะมีความรับผิดชอบที่มากขึ้นกับบรรดานักเตะดาวรุ่ง ผมคิดว่า เอมิล สมิธ โรว์ คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในเกมส์ที่เบรนท์ฟอร์ด แต่เขาต้องมีเวลาอีกหน่อยในการพัฒนาตัวเอง เพราะเขาไม่ได้มีผู้เล่นที่สนับสนุนเขาอย่างที่ผมเคยมี”

Wilshere-Barcelona

• เรื่องน่าสนใจ •